วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551

Blahyth




















มาทำความรู้จักกับตุ๊กตา ตากลม หน้าแบ๊ว ตัวนี้กันดีกว่าค่ะ

Who's that Girl ?
Blythe อ่านออกเสียงว่า ' Blahyth ' หรือ ' Blind ' เธอคือตุ๊กตาวินเทจเจ้าเสน่ห์ที่ถูกออกแบบขึ้นในปี 1972 โดยโรงงานผลิตของเล่นในสหรัฐ ฯ นามว่า Kenner ภายใต้concept ที่อยากสร้างเอกลักษณ์ความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับตุ๊กตาดังนั้นโมเดลตุ๊กตาทั้ง 4 แบบ ชื่อ Blythe , Karess , willow และ Skye จึงถูกคิดค้นขึ้นมา หลังจากนั้น Kenner ได้ว่าจ้างดีไซเนอร์นักออกแบบของเล่นอย่าง Allison Katzman จาก Marvin Glass & Associates หนึ่งในสตูดิโอออกแบบของเล่นที่สำคัญและมีชื่อเสียงที่สุดในโลกให้ดีไซน์ปลุกปั้นตุ๊กตา Blythe ฉบับออริจินัลขึ้น แล้วนับแต่นั้นมา เด็กๆทั้งหลายก็ได้รู้จักกับของเล่นชิ้นใหม่ชิ้นนี้

Blythe by Kenner
ปี 1972 Blythe ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับทรงผมยอดฮิตในยุค 70s ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี 4 แบบ พร้อมด้วยแฟชั่นเครื่องมีให้ Mix&Match กว่า 12 ชุด ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกนั้นถูกออกแบบขึ้นมาอย่างโดนเด่น ด้วยดวงตากลมโตที่สามารภเปลี่ยนสีได้ 4 สีทั้ง เขียว ชมพู ส้ม และน้ำเงิน เพียงแค่ดึงห่วงที่อยู่หลังศีรษะ แต่กลับทำให้มันกลายเป็นตุ๊กตาตัวแรกของโลกที่เด็กๆพากันหวาดกลัว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Blythe ไม่เป็นที่นิยม จนมีเหตุให้ต้องปิดตัวลงหลังจากที่ออกวางขายในตลาดได้แค่เพียง 1 ปีเท่านั้น
Gina Garan
30 ปี ต่อมา จากตุ๊กตาเด็กเล่นที่ครั้งหนึ่งคือสินค้าเหลือค้างสต๊อก มาบัดนี้มันกลายเป็นตุ๊กตาหายาก ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักสะสมเป็นอย่างมาก เพราะหลังจากที่เพื่อนสนิทของ Gina Garan ( โปรดิวเซอร์สาวชาวอเมริกัน ) ได้มอบตุ๊กตา Blythe เป็นของขวัญให้ เธอก็ตกหลุมรักมันเข้าอย่างจัง Gina เริ่มพามันเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆเกือบทุกมุมโลก ขณะเดียวกัน เธอก็เริ่มฝึกถ่ายภาพจากกล้อง SLR โดยมี Blythe เป็นนางแบบให้เธอได้บันทึกภาพความประทับใจเก็บไว้กว่า 100 รูป จนถูกตีพิมพ์เป้นหนังสือรวมภาพถ่ายสุดสวย ( Chronicle Books ) ชื่อ ' This is Blythe ' รวมถึงหนังสือ Firecracker Alternative Book ที่ขายได้กว่า 100,000 เล่มในปี 2001 พร้อมกับนิทรรศการแสดงภาพถ่ายที่ทำให้ชื่อของ Gina's Gallery โด่งดังไปทั่วโลก
The Japanese Blyth
หลังจากที่ Hasbro ( ผู้สืบทอดกิจการจาก Kenner ) ได้มอบลิขสิทธิ์การผลิตตุ๊กตาให้กับบริษัท Takara ประเทศญี่ปุ่น Blythe ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่น จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา TV ให้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่าง Parco และเพียงชั่วข้ามคืนมันก็กลายเป็นตุ๊กตายอดนิยม ส่งผลให้ราคาประมูล Blythe บนเว็บ eBAY ดีดตัวพุ่งสูงขึ้นจากเดิม 35$ เป็น 350$ ทันที รวมถึง Neo-Blythe บนเว็บประมูลของ Yahoo ก็ขายหมดเกลี้ยงสต๊อกถึง 4 ครั้งด้วยกัน แต่ตัวที่มีราคาแพงและหายากที่สุดก็คือ Blythe คอลเลกชั่นวินเทจ ซึ่งสนนราคาอยู่ที่ตัวละ 1,000 เหรียญสหรัฐ ฯ
กระแส Blythe fever ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่ายๆ เพราะหลังจากที่ Gina กับ Junko Wong ( โปรดิวเซอร์ชาวญี่ปุ่น ) ได้ร่วมมือกันจัดนิทรรศการต่างๆที่เกียวกับ Blythe ขึ้น ก็ได้รับความสนใจจากคนในแวดวงแฟชั่นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะงาน Annual Blythe Charity Fashion Show ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ภายในงานได้มีการระดมพลสุดยอดดีไซเนอร์ฝีมือดีของห้องเสื้อแบรนด์เนมชื่อดังจากทุกมุมโลกอย่าง John Galliano , Prada , Gucci , Vivienne Westwood , Issey Miyake , Versace , Sonia Rykiel ฯลฯ มาร่วมกันออกแบบเสื้อผ้าตัวจิ๋วให้กับเหล่านางแบบ Blythe ได้สวมเดินเฉิดฉายอยู่บนแคตวอล์กกลางกรุงโตเกียว
ในปี 2001 Takara ได้รับหน้าที่แปลงโฉม Blythe ให้ดูโดนเด่นขึ้นด้วยขนาดตัว 11 นิ้ว พร้อมกับชื่อใหม่ว่า ' Neo Blythes ' และนับแต่นั้นมา ก็มีคอลเลกชั่นต่างๆของ Neo Blythes เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Blythe ตัวแรก ' Parco Limited Edition ' ( 1,000 ตัว ) ที่ขายหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ตามมาด้วยคอลเลกชั่น Mondrian , Rosie Red , Holly Wood , All Gold in One , Kozy Kape inspired , Aztec Arrival , Sunday Best และ Miss Anniversary Blythe ซึ่งเป็นคอลเลกชั่นพิเศษที่ทำขึ้นเพื่อเป็นการฉลองวันเกิดครบรอบ 1 ปีของ Neo Blythes พร้อมเซอร์ไพรส์เหล่านักสะสมตุ๊กตาทั้งหลายด้วยการเปิดตัว Blythe สายพันธ์ใหม่นามว่า ' Petite Blythe ' ด้วยขนาดตัวที่เล็กกะทัดรัดเพียง 4 1/2 นิ้ว แม้ว่าจะมีสีตาให้เลือกเพียงสีเดียว แต่มันสามารถขยับเปลือกตาขึ้น-ลงได้พร้อมๆกับการดัดบอดี้ส่วนต่างๆให้ดูมี Movement เพิ่มมากขึ้น ซึ่งคอลเลกชั่นที่ถือว่าโดดเด่นและได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ Perfect Petite Series Blythe Dolls ที่ประกอบไปด้วย Asian Butterfly , Paisley Star และ Cosmo Afternoon ปิดท้ายด้วยการเปิดตัว ' Blythe Belle ' ตุ๊กตาพีวีซีที่จำลองและย่อส่วนขนาดของ Blythe ให้เหลือเพียงแค่ 3 นิ้วเท่านั้น

Blythe Bodies
BL : ในช่วงปี 2001-2002 Neo Blythe ได้ผลิตออกมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นตุ๊กตาที่มีอิทธิผลต่อแวดวงแฟชั่น ด้วยบอดี้แบบตุ๊กตา Licca ตุ๊กตา 6 ตัวแรกที่ปฏิวัติตุ๊กตารูปแบบเดิมๆด้วยลูกตาที่มีความแวววาว และพื้นผิวหน้าที่อ่อนนุ่ม หลังจากนั้นก็มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบตา พร้อมกับแต่งแปลือกตาให้มีความกระจ่างชัดเจนขึ้น รวมถึงการปรับเปลี่ยนสีผิวหน้าให้มันวาวขึ้นด้วย

EBL ( Excellent ) : ในปี 2003 Takara เฉลิมฉลองวันครบรอบ 1 ปีแรกของ Blythe ด้วยการเปิดตัว Excellent Blythe ที่มีรูปแบบใกล้เคียงกับต้นแบบเดิมของ Kenner จะต่างกันก็ตรงวัสดุ ยกตัวอย่างเช่น รุ่น Cinnamon Girl ที่ผลิตขึ้นจากพลาสติกและยางสีเข้ม มีความโปร่งใสมันวาว จนมาถึงรุ่น Fruit Punch แต่พลาสติกที่ใช้ทำลูกตาจะเป็นโทนสีสว่างขึ้น ( หลังจากที่หยุดผลิต EBL Dolls ... Takara ก็ได้ปล่อยตุ๊กตา Blythe รุ่นใหม่คือ Margaret Meets Ladybug และ Samedi Marche ออกมาตีตลาดของเล่นอีกอย่างต่อเนื่อง )

SBL ( Superior ) : ในปี 2004 - ปัจจุบัน ยังคงอิง Blythe ต้นแบบดั้งเดิมของ Kenner ( 1972 ) มากที่สุด แต่รูปแบบนั้นเปลี่ยนใหม่หมด เริ่มจากการยกเครื่องเปลี่ยนตั้งแต่ใบหน้า ไปจนถึงโครงสร้างภายใน ไม่ว่าจะเป็นลูกตาที่มีความแวววาวขึ้น รวมถึงชิ้นส่วนต่างๆที่ประกอบอยู่ด้านหลังก็ถูกทำให้ดูสมูทขึ้น พร้อมกับเพิ่มชิ้นส่วนใหม่บริเวณหนังศีรษะเพื่อเพิ่มน้ำหนักและความทนทานมากขึ้นด้วย

RBL ( Radiant ) : ในปี 2006 Radiant Blythe ถูกผลิตขึ้นมาตีตลาดอีกครั้ง ภายใต้บอดี้ที่เหมือนกับ SBL และ EBL แต่แตกต่างกันที่ตรงส่วนโค้งของเปลือกตาที่ดูลึกและมีมิติขึ้น เช่นรุ่น Darling Diva , Last Kiss และ Star Dancer

ในขณะที่โลกกำลังขับเคลื่อนต่อไปอย่างก้าวกระโดด ผู้คนต่างต่อสู้ดิ้นรนเพื่อหวังก้าวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ จนหลงลืมคุณค่าของอดีต แต่ก็ยังมีคนอีกไม่น้อยที่โหยหาอดีต เฉกเช่นเดียวกับ Blythe ที่แม้จะเป็นเพียงแค่ตุ๊กตา แต่มันก็ได้พิสูจน์ให้เราได้เห็นแล้วว่า ทำไมผู้คนถึงยังคงหลงเสน่ห์ในตัวมันนัก แม้เวลาจะผ่านไปสักกี่สิบปีก็ตาม ....


วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

สิ่งที่เรียนรู้เมื่ออายุปูนนี้


สิ่งที่เรียนรู้เมื่ออายุปูนนี้ของ โน๊ต อุดม แต้พานิช



1. มนุษย์ต้องการสิ่งที่ตนเองไม่มี


2. แฟนของคนอื่นมักจะสวยกว่าแฟนของตัวเอง


3. เวลาที่เราวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ไกลๆ เมื่อถึงโทรศัพท์เสียงมันมักจะหยุดเราจะช้าไป 1 จังหวะเสมอ


4. ถ้าแอบรักใครอย่าฝากใครไปบอก บอกด้วยตัวเองจะดีกว่า


5. เวลาสั่งอาหารไว้นานแล้วยังไม่ได้สักทีให้พูดว่าไม่เอาจะได้เร็ว


6. ถ้าเรียกเก็บเงินแล้วไม่มีใครมาเก็บเสียที ให้ลุกขึ้นทำท่าจะกลับทั้งโต๊ะจะมีพนักงานพุ่งมาทันที


7. ปลูกต้นลั่นทมไว้หน้าบ้านไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ระทมของตัวเราเลย


8. ระวังคนขายโรตี ที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าละเมาะ, พุ่มไม้, ซอกตึก, อย่าตัดสินใจซื้อจนกว่าเขาจะล้างมือ


9. ไม่มีสัจจะในร้านตัดเสื้อ


10. ระวังคน ที่แสดงออกว่าเป็นคนดีมากๆ


11. อย่าซื้อทุเรียนมาปอกเอง


12. หนังสือดีคือหนังสือที่เราชอบอ่าน, หนังดีคือหนังที่เราชอบดู


13. อยากให้คนอื่นรู้เรื่องที่เรานินทามากๆ อย่าลืมย้ำบ่อยๆ ว่าอย่าบอกใครนะ


14. อย่าทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว คนล้างจะเสียความรู้สึก


15. เรียกยามว่าซีเคียวรีตี้ การ์ด ยามจะตั้งใจโบกรถ


16. อย่าซื้ออะไรที่ต้องเอามาซ่อมต่อ


17. รถในเมืองไทยพวงมาลัยอยู่ทางขวา แต่ฝาน้ำมันไม่อยู่ขวาเสมอไป


18. ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนไม่ต้องเอายาสีฟันไปก็ได้ ยังไงเพื่อนต้องมี


19. อย่าเข้าใกล้หมาตอนกินข้าว


20. ตลาด อตก. มาจากคำว่า เอเวอรี่ ติง เกินราคา


21. เวลาดูหนังโรง ควรจำว่ากระปุกน้ำอยู่ด้านไหน


22. ตัดผมวันพุธได้ ไม่บาป


23. คนไม่กินเนื้อไม่ได้แปลว่าเป็นคนดีเสมอไป


24. เวลาบ้วนน้ำยาลิสเตอรีน ออกจากปากให้หลับตาด้วย


25. ปูอัด มันทำจากปลา กระเพาะปลามันทำมาจากหนังหมู


26. กินก๋วยเตี๋ยวจากตะเกียบไม้อร่อยกว่า


27. อย่าไปจ่ายตลาดเวลาหิว เราจะซื้อมาเยอะเกินจำเป็นเสมอ


28. ในโลกนี้จะชอบมีคนมาทักอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น ประเภทแรก อ้วนขึ้นนะ กับประเภทที่ 2 ผอมลงนะ ไม่มีใครเข้ามาทักว่าปกติดีนี่ไปทำอะไรมา


29. คนที่เอาหมวกตำรวจ หรือชุดตำรวจแขวนไว้หลังรถมิใช่เพราะบ้านเขาไม่มีตู้ เค้าแค่กลัวคนไม่รู้ว่าเขาทำอาชีพอะไร


30. คนที่มีรถทะเบียนเลขเดียวเรียงติดกันหลาย ๆ ตัวเป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา


31. คนที่มีความรู้มากๆ เขามักจะใช้ความรู้ขังจินตนาการ


32. ฟู่ฟ่าเดี๋ยวก็วาย เรียบง่ายอยู่ได้นาน


33. จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา


34. เวลาที่เปิดหนังสือให้เพื่อนดูหน้าที่ตัวเองพูดถึงมักจะหาไม่เจอ


35. ขนมและน้ำในโรงหนัง จะแพงกว่าข้างนอก


36. ห้องน้ำผู้หญิง ผู้ชายเข้าไปดูเป็นพวกโรคจิต, ห้องน้ำผู้ชายผู้หญิงเข้ามาดูเป็นแม่บ้าน.




วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

ความเงียบ

"ความเงียบ..."
มันอยู่ในลิฟท์ ขณะเราขึ้นไปกับคนแปลกหน้า
มันอยู่ในรถ 2 แถว หลังจากเราสบตากับคนที่นั่งตรงข้ามไป 2-3 ครั้งแล้ว
มันอยู่ในโรงหนัง ก่อนหนังตัวอย่างจะมา
มันอยู่ใต้ท้องทะเล ขณะเราดำน้ำ
มันอยู่ในห้องสมุด
มันอยู่หลังเสียงแก้วแตก
มันอยู่ในห้องเรียน หลังจากครูถามว่า มีใครสงสัยอะไรมั๊ย
มันอยู่ในบ้าน ตอนเราเดินปิดไฟทีละดวง ทีละดวง ก่อนเข้านอน
.....มันอยู่ระหว่างคน 2 คนที่ไม่เข้าใจกัน

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2551

sqweez animal









sqweez animal

สองหนุ่มนักเรียนอังกฤษที่เล่นดนตรีด้วยกันมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่ต่างแดน ก่อนจะกลับมาสานฝันในการมีอัลบั้มของตัวเอง

วิน ศิริวงศ์ - ร้องนำ
แม้จะไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาเป็นนักร้องอาชีพในทุกวันนี้ แต่วินก็เป็นชายหนุ่มที่บอกใครๆ ได้เต็มปากว่า รักการร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจวินเริ่มต้นร้องเพลงด้วยการชักชวนจากเพื่อน จากนั้นเขาก็เริ่มแต่งเพลงและเริ่มสนุกจนหลงรักการแต่งเพลงไปในที่สุด





สิงห์ ประชาธิป มุสิกพงศ์ - กีตาร์
หนุ่มท่าทางเงียบๆ ที่กำลังศึกษาด้านกราฟิกดีไซน์คนเติบโตมาในบ้านที่รักเสียงดนตรี เขาฝึกเล่นดนตรีมาตั้งแต่ 12 ขวบ และเคยเล่นมาแล้วทั้งกีตาร์ เบส กลอง สิงห์ชอบฟังเพลงเป็นชีวิตจิตใจ ใฝ่ฝันอยากทำเพลงของตัวเอง อยากมีอัลบั้มเหมือนศิลปินที่เป็นฮีโร่ของตัวเอง และการได้ทำเพลงออกมาให้คนได้ฟังวันนี้ก็ถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา



เรื่องของวงดนตรีวงนี้เริ่มต้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่วินเริ่มเล่นดนตรีกับเพื่อนๆ ที่เมืองนอกมาตั้งแต่เข้าวัยรุ่น เขาเริ่มตั้งวงดนตรีของตัวเองตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ที่อังกฤษ เวลามีงานของคนไทยในอังกฤษก็จะเป็นวงขาประจำที่ได้ไปแสดงโชว์ จนภายหลังเมื่อได้รู้จักกับสิงห์ซึ่งเป็นน้องของเพื่อนและรู้ว่าเป็นมือกีตาร์ฝีมือดี ก็รู้สึกชอบพอในฝีไม้ลายมือจนกลายมาเป็นเพื่อนร่วมวงกัน

วันเวลาผ่านไป ด้วยภาระในชีวิตจริงที่เพิ่มขึ้น สมาชิกในวงดนตรีก็เริ่มแยกย้าย จนเหลือเพียงวินและสิงห์ที่ยังเล่นดนตรีอยู่และมีความฝันจะเอาจริงด้านนี้ต่อไป แล้วพวกเขาก็กลายเป็นวงดูโอ “Sqweez Animal” โดยได้ชื่อวงมาจากการเอาคำสองคำที่โปรดปรานมารวมกัน

คำว่า Animal มาจากการที่วินและสิงห์เปรียบตัวเองเหมือน ‘ลิงกลางคืน’ ที่จะคึกคักเมื่อตะวันตกดิน คำว่า Animal ก็ให้อารมณ์สนุกสนานประมาณนั้น

ส่วนคำว่า Sqweez นั้นพวกเขาได้จากชื่อโปรแกรมคอมพิวเตอร์โปรแกรมหนึ่ง เป็นคำเท่ๆ ที่มีความหมายว่า ‘บีบ’ ซึ่งคำนี้ปกติจะสะกดว่า Squeeze แต่พวกเขาก็นำมาเขียนในแบบตัวเอง เหมือนที่ใครๆ บอกว่าวินชอบร้องเพลงด้วยเสียงบีบๆ ...แต่ก็เป็นวิธีการร้องที่เค้นอารมณ์และฟังดูดีในแบบของเขาเองอยู่ดี

ก้าวแรก : ในบ้านเกิด


เมื่อกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทย เสียงร้องของวินก็กลายเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างมากขึ้นเมื่อเขาร้องเพลง “ไม่มีความหมาย” ในอัลบั้ม Singing in the Playground ให้ค่าย Playground Record เมื่อ 4 ปีก่อน เพลงนี้ได้รับรางวัล Virgin Hit Award จากการติดอันดับอยู่ในชาร์ตนานถึง 28 อาทิตย์ติดกัน วินยังได้สร้างเครดิตที่หลากหลายให้กับตัวเองต่อๆ มาอีกด้วย ตั้งแต่การไปร้องประสานให้กับ โยคีเพลย์บอย ไปร้องให้กับอัลบั้มของ Jerry และ Sleeper 1 และและยังไปร้องเพลงในอัลบั้มป๊อปๆ อย่าง Behind The Songs ของ เอิ้น พิยะดา ,และ ยังไปร่วมร้องให้กับวง HIPHOPย่างวง ดูจาดา เพลงจูบ 2 และสุดท้ายเขายัง เขียนเพลงและร้อง ให้กับวง BK 1 เพลงหนีไม่พ้น จากอัลบั้ม T-HOP รวมถึงการได้รับเลือกให้เป็นหนุ่มโสดที่น่าสนใจจากนิตยสารผู้หญิงอันดับหนึ่งอย่างคลีโอมาแล้ว แต่เขากับสิงห์ยังคงเกาะกลุ่มเล่นดนตรีกันอย่างเหนียวแน่น ในระหว่างนั้นสิงห์ก็ยังเล่นดนตรีและทำเพลงของวงตลอดเวลา

ก้าวต่อๆ มาของวินและสิงห์ก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาทำเพลง “อาจยังไม่สาย และ ฉันไม่เหงา” ในนามวง “Sqweez Animal” ออกวางขายในงาน Fat Festival #4 ตอนปลายปี 2547 ปรากฏว่าได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีทั้งเรื่องยอดขาย และอันดับในชาร์ตเพลงที่เข้าไปถึง Top 5 ของแฟตชาร์ตได้ทั้ง 2 เพลง

และหลังจากตระเวนแสดงดนตรีตามที่ต่างๆ ตั้งแต่งานเล็กไปถึงงานใหญ่ ตั้งแต่กรุงเทพฯ ไปถึงเชียงใหม่ แคมปัสทัวร์ในมหาวิทยาลัยอีกหลายต่อหลายแห่ง จนวันนี้ที่ฝีมือและความมั่นใจเต็มเปี่ยม ก็ถึงเวลาของอัลบั้มเพลงเต็มรูปแบบจากวง Sqweez Animal ในสังกัด Spicy Disc แล้ว

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551





























fisheye2




Fisheye2 camera
* Format: all 35mm film (negative, slide, b&w)

* Field of Vision: 170 degrees

* Approximate focal length: 10mm

* Fixed aperture: f/8* Shutter speeds: 1/100, "B"

* Flashes: Standard hotshoe & built-in flash

* Multiple Exposure switch for unlimited shots on 1 frame


How to shoot:

  • ถ่ายใกล้ๆเลยค่ะ ยิ่งใกล้ภาพจะยิ่งกลมนูนแต่ถ่ายระยะไกลก็ได้ค่ะ แต่ความโค้งนูนของภาพจะไม่เท่าถ่ายใกล้

  • จะมีชัตเตอร์ 2 แบบ คือ N และ BN คือ Normal ปกติ คือชัตเตอร์กดแล้วจะปิดเลยเหมาะกับถ่ายภาพในแสงทั่วไปเช่น กลางแดด เป็นต้น

  • B คือ ชัตเตอร์ที่กดค้างได้นาน เพื่อค้างรูรับแสงไว้จนกว่าแสงจะเข้าไปกระทบที่ฟิล์มมากพอ จะนานแค่ไหนก็แลวแต่ความมืด-สว่างของตอนนั้น เหมาะกับการถ่ายในที่แสงน้อย หรือกลางคืนแต่มือต้องนิ่งๆหน่อย ไม่งั้นภาพจะไหว

  • ด้านหลังมีปุ่มเล็ก mx เป็นปุ่มสำหรับทำภาพซ้อน ทำได้ด้วยการถ่ายภาพแรกก่อน แล้วเลื่อนปุ่มนี้ หนึ่งทีก่อนการกดภาพที่สองซ้อนทับไป

เทคนิค

1. เข้าใกล้ Subject ให้มากที่สุด หากต้องการภาพแบบ the dog นะ 2. ถ่ายเบิ้ล เลือกโหมด B และปรับ MX ด้านหลังกล้องไปทางซ้าย ที่นี่ก้อ Don\_t think just shoot !

*เบิ้ลไม่เบิ้ล มุมสูง มุมต่ำ เอียงซ้ายขวา แล้วแต่ชอบ รับรองสนุก











วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2551

start

Begin

Began

Begun . . . . . เริ่มต้น